เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ ‘บิ๊กโจ๊ก’ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ทำหนังสือด่วนที่สุดแจ้งไปยังฝ่ายปฏิบัติ ว่า ด้วย ตร. อยู่ระหว่างดำเนินการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ประกอบกับ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 70 วรรค 2 คำพิพากษาศาลปกครองกลางดังกล่าว ยังไม่มีผลตามคำบังคับจนกว่าจะพ้นระยะเวลาการอุทธรณ์ กรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 โดยให้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ออกประกาศ หรือนับตั้งแต่วันที่ 20 ก.ค.2563 เพราะศาลฯพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประกาศฯทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว เป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ ‘บิ๊กโจ๊ก’ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุดอีก 1 ฉบับ แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานทั่วประเทศ โดยหนังสือฉบับดังกล่าว ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติงานจราจรในการออกใบสั่ง การใช้หลักเกณฑ์จำนวนเงินค่าปรับตามที่เปรียบเทียบ และใช้งานระบบ PTM (Police Ticket Management) เพื่อให้การปฏิบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเกิดความชัดเจน ดังนี้
1.ในกรณีที่ได้มีการออกใบสั่งเจ้าพนักงานจราจรไปแล้ว หากผู้รับใบสั่งปฏิเสธหรือมีข้อโต้แย้งใดๆ ให้พนักงานสอบสวนรับฟังข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน จนปราศจากข้อสงสัย แล้วใช้ดุลพินิจอย่างรอบคอบในการกำหนดค่าปรับ ให้เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิด และเป็นไปตามเจตนารมย์ของกฎหมาย
2.ในกรณีที่พบการกระทำความผิด ก่อนการออกใบสั่งทุกครั้ง ให้เจ้าพนักงานจราจรใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม และให้สิทธิในการโต้แย้งได้ตามกฎหมาย โดยระมัดระวังมิให้มีการใช้อำนาจเกินกว่าขอบเขตของกฎหมาย และจะต้องไม่กระทบสิทธิ เสรีภาพของประชาชนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
3.ให้ผู้บังคับบัญชาในสายงานจราจร ชี้แจงทำความเข้าใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานให้รับทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และควบคุมกำกับดูแลการปฏิบัติโดยใกล้ชิด
ส่วนคำพิพากษาศาลปกครองกลางคดีหมายเลขแดงที่ 1855/2563 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับ “แบบใบสั่งฉบับที่ 1 ตามคำสั่ง ตร.ลงวันที่ 20กรกฎาคม 2563” “แบบใบสั่งฉบับที่ 2 ตามคำสั่ง ตร. ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2564” และ “บัญชี อัตราค่าปรับในคดีจราจรตามคำสั่ง ตร.ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563” ที่ออกโดยสำนักงานตำรวจ
แห่งชาติ (ตร.) และผูบัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ซึ่งมีข้อเท็จจริงและรายละเอียดโดย สรุปกล่าวคือ นาง ส. ฟ้องคดีต่อศาลปกครองขอให้มีคำสั่งเพิกถอน “แบบใบสั่ง” และ“บัญชีอัตราค่าปรับในคดีจราจร” โดยอ้างว่าแบบใบสั่งและบัญชีค่าปรับออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองมีคำวินิจฉัยซึ่งมีสาระประเด็นสำคัญสรุปได้ดังนี้
สำหรับ “แบบใบสั่ง” (หรือแบบฟอร์มใบสั่ง) ที่ ตร.กำหนดเป็น“กฎ” ที่ มีลักษณะทำให้ผู้รับใบสั่งเข้าใจได้ว่าตนเป็นผู้มีความผิด และมีหน้าที่ต้องชำระค่าปรับตามใบสั่งเท้านั้นโดยไม่อาจโติแย้งได้ซึ่งไม่มีข้อความการแจ้งให้ทราบถึงสิทธิที่จะโต้แย้งหรือการปฏิเสธข้อกล่าวหาในใบสั่งตามที่ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 141/1 วรรคหนึ่ง (2) (ง) วรรคสอง ได้บัญญัติรับรองไว้“แบบใบสั่งฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2” ตามคำสั่ง ตร. จึงเป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วน “บัญชีอัตราค่าปรับ” (หรืออัตราค่าปรับความผิดตามกฎหมายจราจร) ที่ ตร.กำหนดเป็น“กฎ” ที่มีลักษณะเป็นการกำหนดจำนวนค่าปรับไว้ล่วงหน้าเป็นอัตราคงที่แน่นอน โดยที่เจ้าพนักงานจราจรไม่อาจใช้ดุลพินิจเปรียบเทียบปรับเป็นจำนวนให้เหมาะสมและเป็นธรรมตามพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณีตามเจตนารมณ์ มาตรา 140 วรรคสี่ แห่งพ.ร.บ.
จราจรทางบกฯ “บัญชีอัตราค่าปรับ” จึงเป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอน “แบบใบสั่ง” (ตามเอกสารแนบท้ายบทความ 1) และ “บัญชีอัตราค่าปรับ” (ตามเอกสารแนบท้ายบทความ 2) ที ตร. กำหนด โดยให้มผีลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกคำสั่งหรือประกาศ ตร.ดังกล่าว (วันที่ 20 กรกฎาคม 2563)
ผลของคำพิพากษาศาลปกครองกลาง
(1) แม้ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอน “แบบใบสั่ง” และ “บัญชีอัตราค่าปร้บ” หากแต่คำสั่งศาลปกครองกลางเป็นการใช้อำนาจสั่งให้เพิกถอนกฎ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ. 2542 มาตรา 72 (1) การบังคับตามคำพิพากษาศาลปกครองกรณีดังกล่าวต้อง รอการบังคับคดีไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด ตาม มาตรา 70 วรรคสอง เว้นแต่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้บังคับตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางตามที่เห็นสมควรระหว่างการพิจารณาหรือระหว่าง
อุทธรณ์
(2) เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดและศาลปกครองสูงสุดไม่ได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่นตาม มาตรา 70 วรรคสอง “แบบใบสั่ง” และ “บัญชีอัตราค่าปรับ” จึงยังไม้ถูก “เพิกถอน” ตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง
(3) อย่างไรก็ตาม แม้คำพิพากษาของศาลปกครองกลางจะยังไม่ถึงที่สุดและ “แบบใบสั่ง” และ “บัญชีอัตราค่าปรับ” จึงยังไม่ถูก “เพิกถอน” แต่ศาลปกครองกลางได้โปรดมีคำวินิจฉัยในเบื้องต้นแล้วว่า “แบบใบสั่ง” และ “บัญชีอัตราค่าปรับ” เป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายประกอบกับหากคดีไม่มีการอุทธรณ์ หรือหากคดีมีการอุทธรณ์และศาลปกครองสูงสุดมีคำ
พิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ย้อมส่งผลให่ “แบบใบสั่ง” และ “บัญชีอัตราค่าปรับ” ถูกเพิกถอนโดยเด็ดขาด
(4) ฉะนั้นในระหวางที่คดียังไม่ถึงที่สุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เจ้าพนักงานจราจรและพนักงานสอบสวน จึงไม่พึงนำเอา “แบบใบสั่ง” และ “บัญชีอัตราค่าปรับ” ที่ไม่แน่ชัดว่าถึงที่สุดแล้วจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หรืออาจถูกเพิกถอนโดยเด็ดขาดในชั้นที่สุด “มาบังคับใช้กับประชาชน” อีกต่อไปเพราะเป็นการขัดต่อหลักนิติธรรม และสิทธิของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ให้การรับรองและคุ้มครอง ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ ศาลปกครองกลางมี
คำพิพากษา (วันที่ 27 กันยายน 2566 เป็นต้นไป)
ล่าสุดมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ลงนามคำสั่งวิทยุในราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 0007.34/3927 ใจความอ้างถึง คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ให้เพิกถอนประกาศ ตร.เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลง 20 ก.ค. 63 และประกาศ ตร. เรื่อง การกำหนดจํานวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิด ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 ลง 20 ก.ค.63 นั้น ขณะนี้ทางตร.อยู่ระหว่างดำเนินการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ประกอบกับพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 70 วรรค 2 ที่ระบุว่า ในกรณีที่เป็นคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ให้รอการปฏิบัติ ตามคำบังคับไว้จนกว่าจะพ้นระยะเวลาการอุทธรณ์ หรือในกรณีที่มีการอุทธรณ์ให้รอการบังคับคดีไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด