25 เมษายน 2024

วันที่ 4 ส.ค.65 ที่ห้อง Lotus 7 ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นวิทยากรการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Smart Safety Zone 4.0 นวัตกรรมความปลอดภัย เพื่อการป้องกันอาชญากรรม” ในงาน มหากรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2565

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยุคนิวนอมอลล์ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวไว้ว่า ตำรวจต้องทำงานเชิงรุก ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19 ทำให้มองเห็นได้ว่า มี ประชาชนตกงานเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาการว่างงาน ตลอดถึงสภาวะเศรษฐกิจ ลดถอย หนี้ครัวเรือนหนี้สาธารณะ เพิ่มขึ้น เป็นกันทั่วทั้งโลก วันนี้สถานะของประชาชน ของประเทศไทยถือว่าเศรษฐกิจ ย่ำแย่ สิ่งที่จะตามมาที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นห่วงนั้นคือ “ปัญหาอาชญากรรม” การลัก วิ่ง ชิงปล้นต่างๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจโดยตรง แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนสัมผัสได้ก็คือ การทำงานเชิงรุก คือการทำงานในด้านการป้องกันปราบปราม เราต้องป้องกันไม่ให้เหตุเกิด หรือว่ามีการลัก-วิ่ง-ชิง-ปล้น การป้องกันปราบปรามดียิ่งกว่าเหตุเกิดแล้ว จะมาสืบสวนจับกุม ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน อย่างมากมาย ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เน้นในเรื่องของการทำงานเชิงรุก คือการป้องกัน ซึ่งจะตรงใจประชาชน และใช้งบประมาณน้อย ทำให้ผู้ต้องหาไม่ล้นคุก ประหยัดงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งการทำงานของตำรวจ จะกลับมาในรูปแบบของตำรวจคือประชาชน และประชาชนคือตำรวจ ประชาชนทุกคนคือตำรวจความหมายคือว่า ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วม และมีส่วนรับผิดชอบในชุมชนของตนเองที่อาศัยอยู่ ในชุมชน ตำบลหมู่บ้าน

เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญคือตำรวจต้องทำให้ประชาชนไว้ใจยิ่งขึ้น เมื่อความห่างระหว่างตำรวจกับประชาชนน้อยลง ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อตำรวจ ก็จะมากขึ้น เพราะฉะนั้นความร่วมมือร่วมใจ ที่จะเป็นหูเป็นตา และแจ้งเบาะแส คนร้าย ที่จะนำข้อมูลข่าวสารส่งมาให้ เช่นกรณีเกิดเหตุในหมู่บ้าน วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างทุกคนมีหน้าที่หมด เพราะว่าทุกคนมีส่วนเป็นเจ้าของพื้นที่ นอกจากที่ทำการของผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบในหมู่บ้าน แล้ว วินมอเตอร์ไซค์ ก็มีหน้าที่ช่วยกันดูแลประชาชนในซอยท้องถิ่น นอกนั้นนอกเหนือจากตำรวจ

ด้วยเหตุนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ริเริ่มโครงการ Smart Safety Zone 4.0 เพื่อให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปตามความต้องการของประชาชน โดยก่อนเริ่มได้มีการตรวจสอบ โดยใช้แบบ สอบถาม people poll เป็นการวัดผลในลักษณะ Google form ในการวัดผลแบบ Real Time ทำให้ การบริหารงานปราบปรามเป็นไปตามสภาพในความเป็นจริง และเป็นไปตามความต้องการของประชาชนจริงๆ

จากการสำรวจแบบสอบถามของประชาชน วันนี้จะเห็นได้เลยว่า ภัยที่ประชาชนกลัวมากที่สุดอันดับ 1 ภัยจากอาชญากรรมไซเบอร์ และ Social Media เป็นอาชญากรรมสมัยใหม่ เช่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งโรแมนซ์สแกม เป็นภัยที่ประชาชนกลัวมากที่สุด และสร้างความเสียหายเป็นจำนวนมาก ในลำดับต้นๆเช่นเดียวกัน และอีกภัยหนึ่งคือ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ซึ่งมักจะปรากฏให้เห็นว่าประชาชนกลัว ภัยวิ่งราวทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ มากกว่าการฆ่าคนตาย

ถามว่าทำไมการสำรวจจึงสะท้อนมาในภาพเหล่านี้ เพราะสิ่งที่สะท้อนออกมาจาก การวัดผลแบบ Real Time จากเดิมสมัยก่อน ในการวัดผลเราวัดผลกันปีละครั้ง แต่ขณะนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ปรับเปลี่ยนใหม่ มีการวัดผล ในลักษณะ Google poll และ Google form ผลแบบ Real Time ส่วนนี้จะทำให้สามารถนำข้อมูล ตามความต้องการของประชาชน มาใช้ในการบริหารงาน ได้อย่างตรงใจของประชาชน ด้วยเหตุนี้สำนักงานแห่งชาติ โดยพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ริเริ่มนำร่อง โครงการ Smart Safety Zone 4.0 ในพื้นที่กรุงเทพฯและหัวเมืองหลัก ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวและเป็นแลนด์มาร์คของประเทศไทย เช่น ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ โคราช เป็นแลนด์มาร์ค สำคัญของประเทศ ที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมากในแต่ละปี และย่านห้วยขวาง ซึ่งมีสถานที่สำคัญอย่างเช่น สถานทูตจีน และร้านอาหารต่างๆจำนวนมาก ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนมักจะหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก

การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยุคนิวนอมอลล์ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวไว้ว่า ตำรวจต้องทำงานเชิงรุก ท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19 ทำให้มองเห็นได้ว่า มี ประชาชนตกงานเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาการว่างงาน ตลอดถึงสภาวะเศรษฐกิจ ลดถอย หนี้ครัวเรือนหนี้สาธารณะ เพิ่มขึ้น เป็นกันทั่วทั้งโลก วันนี้สถานะของประชาชน ของประเทศไทยถือว่าเศรษฐกิจ ย่ำแย่ สิ่งที่จะตามมาที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นห่วงนั้นคือ “ปัญหาอาชญากรรม” การลัก วิ่ง ชิงปล้นต่างๆ ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจโดยตรง แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนสัมผัสได้ก็คือ การทำงานเชิงรุก คือการทำงานในด้านการป้องกันปราบปราม เราต้องป้องกันไม่ให้เหตุเกิด หรือว่ามีการลัก-วิ่ง-ชิง-ปล้น การป้องกันปราบปรามดียิ่งกว่าเหตุเกิดแล้ว จะมาสืบสวนจับกุม ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน อย่างมากมาย

ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เน้นในเรื่องของการทำงานเชิงรุก คือการป้องกัน ซึ่งจะตรงใจประชาชน และใช้งบประมาณน้อย ทำให้ผู้ต้องหาไม่ล้นคุก ประหยัดงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งการทำงานของตำรวจ จะกลับมาในรูปแบบของตำรวจคือประชาชน และประชาชนคือตำรวจ ประชาชนทุกคนคือตำรวจความหมายคือว่า ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วม และมีส่วนรับผิดชอบในชุมชนของตนเองที่อาศัยอยู่ ในชุมชน ตำบลหมู่บ้าน เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญคือตำรวจต้องทำให้ประชาชนไว้ใจยิ่งขึ้น เมื่อความห่างระหว่างตำรวจกับประชาชนน้อยลง ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อตำรวจ ก็จะมากขึ้น เพราะฉะนั้นความร่วมมือร่วมใจ ที่จะเป็นหูเป็นตา และแจ้งเบาะแส คนร้าย ที่จะนำข้อมูลข่าวสารส่งมาให้ เช่นกรณีเกิดเหตุในหมู่บ้าน วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างทุกคนมีหน้าที่หมด เพราะว่าทุกคนมีส่วนเป็นเจ้าของพื้นที่ นอกจากที่ทำการของผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบในหมู่บ้าน แล้ว วินมอเตอร์ไซค์ ก็มีหน้าที่ช่วยกันดูแลประชาชนในซอยท้องถิ่น นอกนั้นนอกเหนือจากตำรวจ ด้วยเหตุนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ริเริ่มโครงการ Smart Safety Zone 4.0 เพื่อให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปตามความต้องการของประชาชน โดยก่อนเริ่มได้มีการตรวจสอบ โดยใช้แบบ สอบถาม people poll เป็นการวัดผลในลักษณะ Google form ในการวัดผลแบบ Real Time ทำให้ การบริหารงานปราบปรามเป็นไปตามสภาพในความเป็นจริง และเป็นไปตามความต้องการของประชาชนจริงๆ

จากการสำรวจแบบสอบถามของประชาชน จะเห็นได้ว่า ภัยที่ประชาชนกลัวมากที่สุดอันดับ 1 ภัยจากอาชญากรรมไซเบอร์ และ Social Media เป็นอาชญากรรมสมัยใหม่ เช่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งโรแมนซ์สแกม เป็นภัยที่ประชาชนกลัวมากที่สุด และสร้างความเสียหายเป็นจำนวนมาก ในลำดับต้นๆเช่นเดียวกัน และอีกภัยหนึ่งคือ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ซึ่งมักจะปรากฏให้เห็นว่าประชาชนกลัว ภัยวิ่งราวทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ มากกว่าการฆ่าคนตาย
ถามว่าทำไมการสำรวจจึงสะท้อนมาในภาพเหล่านี้ เพราะสิ่งที่สะท้อนออกมาจาก การวัดผลแบบ Real Time จากเดิมสมัยก่อน ในการวัดผลเราวัดผลกันปีละครั้ง แต่ขณะนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ปรับเปลี่ยนใหม่ มีการวัดผล ในลักษณะ Google poll และ Google form ผลแบบ Real Time ส่วนนี้จะทำให้สามารถนำข้อมูล ตามความต้องการของประชาชน มาใช้ในการบริหารงาน ได้อย่างตรงใจของประชาชน

ด้วยเหตุนี้สำนักงานแห่งชาติ โดยพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ริเริ่มนำร่อง โครงการ Smart Safety Zone 4.0 ในพื้นที่กรุงเทพฯและหัวเมืองหลัก ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวและเป็นแลนด์มาร์คของประเทศไทย เช่น ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ โคราช
เป็นแลนด์มาร์ค สำคัญของประเทศ ที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมากในแต่ละปี และย่านห้วยขวาง ซึ่งมีสถานที่สำคัญอย่างเช่น สถานทูตจีน และร้านอาหารต่างๆจำนวนมาก ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนมักจะหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า โครงการสมาร์ทเซฟตี้โซน 4.0 (Smart Safety Zone 4.0) คว้ารางวัลชนะเลิศ The Best Experience in Community Policing ประเภทการป้องกันอาชญากรรม เป็นรางวัลที่มอบให้กับองค์กรตํารวจที่มีผลงานในการพัฒนาแนวคิดตํารวจชุมชนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด จากประชุมสุดยอดตํารวจโลก ในด้านการปฏิบัติการชุมชนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม ณ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 14 – 17 มี.ค. 2565 ที่ผ่านมา นวัตกรรมสมาร์ทเซฟตี้โซน 4.0 ของ ตร.ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อนำร่องในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นลำดับแรก ในการพัฒนารูปแบบวิธีการป้องกันอาชญากรรม โดยใช้นวัตกรรมและยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางตามแนวคิดเรื่อง “เมืองอัจฉริยะ” โครงการสมาร์ทเซฟตี้โซน 4.0 เกิดจากแนวคิดของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องการให้เกิดพื้นที่ปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่น อุ่นใจให้กับประชาชน ตร.จึงได้คัดเลือกพื้นที่ที่เป็นแลนด์มารค์ แหล่งเศรษฐกิจ และพื้นที่ที่ประชาชนมีความหวาดกลัวภัยอาชญากรรมมาสร้างเป็นพื้นที่ปลอดภัย โดยการยกระดับการป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่สาธารณ ตามแนวคิดเรื่อง “เมืองอัจฉริยะ” ยกระดับการทำงานของตำรวจ ตามกรอบแนวคิด “ราชการ 4.0” ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอล และบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และ สตช. ในด้านการป้องกันอาชญากรรม ในระยะแรกได้คัดเลือกสถานีตำรวจทั่วประเทศ จำนวน 15 สถานี เป็นสถานีนำร่อง ได้แก่ สน.ห้วยขวาง, สน.ลุมพินี, สน.ภาษีเจริญ, สภ.ปากเกร็ด, สภ.เมืองสมุทรปราการ, สภ.เมืองพัทยา, สภ.เมืองระยอง, สภ.เมืองปราจีนบุรี, สภ.ปากช่อง, สภ.เมืองอุดรธานี, สภ.เมืองเชียงใหม่, สภ.เมืองพิษณุโลก, สภ.เมืองราชบุรี, สภ.เมืองภูเก็ต และ สภ.หาดใหญ่ สถานีตำรวจทั้ง 15 สถานี และในระยะที่ 2 ได้ทำการขยายต่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ตอนนี้มีอยู่ 100 สถานีตำรวจที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งได้เน้นการสร้างพื้นที่เซฟตี้โซน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น อุ่นใจ ปลอดภัยในชุมชน ให้เป็นรูปธรรมโดยได้เริ่มดำเนินการดังนี้

  1. สำรวจกล้อง CTV ในพื้นที่ ปรับมุมกล้อง และบูรณาการการใช้งานกล้องร่วมกัน พร้อมติดตั้งเพิ่มเติม
  2. นำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันอาชญากรรม เช่น การติดตั้งกล้อง AI ตรวจจับใบหน้า และกล้อง AI ตรวจจับทะเบียนรถยนต์ เป็นต้น
  3. ติดตั้งเสาสัญญาณ S.O.S เพื่อประชาชนจะได้สามารถแจ้งเหตุด่วนได้ทันที
  4. จัดทำห้องปฏิบัติการ CCOC โดยเชื่อมสัญญาณจาก หน่วยงานราชการ และเอกชนมายังห้องปฎิบัติการและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้กับเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ เพื่อคอยควบคุมและสั่งการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  5. ใช้แอปพลิเคชั่นต่าง ๆเพื่อความรวดเร็วในการสื่อสาร เช่น Police i lert u, Police 4.0, LINE Official
  6. ร่วมกับหน่วยงานในท้องที่ปรับภูมิทัศน์พื้นที่เสี่ยงให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย เช่น ตัดต้นไม้ แต่งกิ่งไม้ ในพื้นที่รกล้าง ขีดสี ตีเส้น ทำความสะอาดพื้นที่ ติดไฟส่องสว่าง
  7. แสวงหาความร่วมมือจากประชาชน และสร้างกลไกการมีส่วนรวมจากประชาชนในการช่วยป้องกันอาชญากรรม

โครงการสมาร์ทเซฟตี้โซน 4.0 ได้ดำเนินการไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพโดยการสนับสนุนของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนที่ช่วยสร้างมิติใหม่แห่งความปลอดภัย จากพื้นที่สายเปลี่ยว เปลี่ยนเป็นพื้นที่ปลอดภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่น อุ่นใจ และปลอดภัยในชุมชน